HTR & Re.HTr Club Webboard
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม

+3
Tabutuba
*!!~AlFeiLai~!!*
Volwar
7 posters

หน้า 6 จาก 6 Previous  1, 2, 3, 4, 5, 6

Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty Re: วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม

ตั้งหัวข้อ by Tabutuba Mon Jul 25, 2011 8:32 pm

อ้อเพิ่งรู้ความหมายของคำว่าถมลายนะเนี่ย ที่เเท้เป็นอย่างนี้เองเหรอ
ก็ได้เรียนอ่ะนะเเต่ก็สงสัยเหมือนกันว่าถมลายเป็นอย่างไรเเต่ไม่กล้ายกมือถามครูอ่ะ
Tabutuba
Tabutuba
B Class
B Class

จำนวนข้อความ : 155
คะแนน : 195
คะแนนชื่อเสียง : 29
Join date : 07/01/2011
Age : 26
ที่อยู่ : kkw Band

ขึ้นไปข้างบน Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty นาฬิกาสิ่งที่ผู้คนในสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ดูเวลา

ตั้งหัวข้อ by Volwar Wed Jul 27, 2011 7:42 pm


ประวัตินาฬิกาทั่วไปก่อน
ในสมัยดึกดำบรรพ์ผู้คนใช้นาฬิกาแดดดูเวลา ในสมัยโบราณมีนาฬิกาน้ำ ส่วนนาฬิกาแบบลักษณะปัจจุบัน พัฒนาขึ้นช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 11-13 ในยุโรป ส่วนคำว่า clock นั้นมาจากภาษาละตินว่า clocca ที่แปลว่า ระฆัง อาศัยหลักการดึงดูดก่อให้เกิดน้ำหนักที่จะเคลื่อนคันบังคับ ซึ่งจะทำให้เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่

ประวัตินาฬิกาในสยาม
ในอดีตชาวสยามดูเวลาก็ใช้กะลาเจาะรูเป็นนาฬิกาน้ำ นาฬิกาถูกนำเข้ามาในสยามครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ราชวงศ์ปราสาททอง แห่งกรุงศรีอยุธยานู่นแน่ะ ซึ่งทางฝรั่งเศสได้ส่งมอบนาฬิกาเป็นของขวัญเจริญสัมพันธไมตรีมาให้ อาจเรียกได้ว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชคือคนไทยคนแรกที่ได้ครอบครองนาฬิกาเรือนแรกในสยาม นอกจานี้เจ้าพระยาวิชาเยนทร์และท้าวทองกีบม้ายังได้รับนาฬิกาอีกด้วย นอกจากนี้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชยังเป็นผู้ริเริ่มใช้คำว่า “นาฬิกา” แรกอีกด้วย แต่ทว่าพอหมดรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์หาราชแล้ว สมเด็จพระเพทราชา ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงทรงเกลียดชังชาวต่างชาติ ดังนั้นนาฬิกาจึงหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ชาติสยามจนถึงสมัย ร.5 จึงมีการนำเข้านาฬิกาจากชาติตะวันตกอีกครั้งหนึ่ง

ขอขอบพระคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
หนังสือรอบรู้รอบโลก ของสำนักพิมพ์ธารบัวแก้ว
หนังสือเล่มสีฟ้าของสารสาสน์เล่มแรกๆ เลยที่ออกมาตอน ประมาณปี พ.ศ. 2546
en.wikipedia.org
www3.ipst.ac.th
www.expert-watch.com
www.lib.ru.ac.th
www.siamsouth.com
www.youtube.com
Volwar
Volwar
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 572
คะแนน : 770
คะแนนชื่อเสียง : 14
Join date : 23/01/2010
Age : 30
ที่อยู่ : ถนนเจริญยาก ถนนไม่มีรถเมล์ กทม.

ขึ้นไปข้างบน Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty Re: วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม

ตั้งหัวข้อ by Tabutuba Wed Jul 27, 2011 8:05 pm

โอ้สมัยอยุธยามีนาฬิกาด้วยเหรอนี่
เเต่เพลงนาฬิกาก็เพราะเหมือนกันนะ
Tabutuba
Tabutuba
B Class
B Class

จำนวนข้อความ : 155
คะแนน : 195
คะแนนชื่อเสียง : 29
Join date : 07/01/2011
Age : 26
ที่อยู่ : kkw Band

ขึ้นไปข้างบน Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty ลายน้ำทอง ลายเบญจรงค์ที่มีสีทอง

ตั้งหัวข้อ by Volwar Tue Aug 09, 2011 6:58 pm

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 180100024907A
ประวัติ
เครื่องเคลือบลายน้ำทองเป็นเครื่องเคลือบที่ถือกำเนิดขึ้นในประเทศจีน สมัยราชวงศ์ชิง (ประมาณปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง-สมัย ร.5) แต่เป็นที่นิยมกันมากในรัชสมัยฮ่องเต้เฉียนหลง และรัชสมัยฮ่องเต้เจี่ยชิ่ง เครื่องเคลือบชนิดนี้เขียนลวดลายบนภาชนะด้วยวิธีลงยา แต่ลงพื้นบนภาชนะด้วยสีทองที่ทำจากทองคำ ก่อนเขียนลวดลายตกแต่ง สยามได้สั่งทำเครื่องเคลือบลายน้ำทองโดยกำหนดรูปแบบและลวดลายส่งไปทำในจีนเช่นเดียวกับเครื่องเคลือบเบญจรงค์ ส่วนใหญ่สั่งเข้ามาในสมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ร.1 สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชินีได้ทรงสั่งเครื่องเคลือบลายน้ำทองจากจีนเข้ามาใช้ในราชสำนัก มีลวดลายที่ประดิษฐ์ใหม่หลายแบบ ส่งไปให้ช่างจีนทำขึ้นในครั้งนั้น ความนิยมสั่งเครื่องเคลือบลายน้ำทองจากจีน มีมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.3 แต่มักนิยมให้เขียนลวดลายแบบจีน จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 ความนิยมเครื่องเคลือบลายน้ำทองจึงลดลง หันไปสั่งเครื่องเคลือบลายคราม เข้ามาแทนที่

จาก
www.sanook.com
www.thaitambon.com
Volwar
Volwar
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 572
คะแนน : 770
คะแนนชื่อเสียง : 14
Join date : 23/01/2010
Age : 30
ที่อยู่ : ถนนเจริญยาก ถนนไม่มีรถเมล์ กทม.

ขึ้นไปข้างบน Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty ฟุตบอลกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

ตั้งหัวข้อ by Volwar Wed Aug 10, 2011 9:12 pm

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Greek
ภาพกีฬาฮาร์ปาสตัมของกรีก
ประฟุตบอลสากล
ฟุตบอล เป็นกีฬาที่มีผู้สนใจที่จะชมการแข่งขันและเข้าร่วมเล่น มากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน เพราะว่าแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ซูเลอ" (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่ากีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่มี ีกติการการแข่งขันที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอล ในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431 วิวัฒนาการด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้นกำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman) พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ ในกรุงโรม ความเจริญของตะวันออกไกลได้แผ่ขยายถึงตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอิทธิพลของสงคราม โดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช การเล่นกีฬาชนิดหนึ่งเรียกว่า ฮาร์ปาสตัม เป็นกีฬาที่นิยมของชาวโรมันและชาวกรีกโบราณวิธีการเล่นคือ มีประตูคนละข้าง แล้วเตะลูกบอลไปยังจุดหมายที่ต้องการ เช่น จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง การเล่นจะเป็นการเตะ หรือการขว้างไปข้างหน้าฮาร์ปาสตัม หมายถึงการเหวี่ยงไปข้างหน้า การเล่นกีฬาฮาร์ปาสตัมในกรุงโรมดูเหมือนจะเป็นต้นกำเนิดของกีฬาซึ่งมีการเล่นในสมัยยุคกลาง ในการเล่นฮาร์ปาสตัม ขนาดของสนามจะเล็กกว่าสนามกีฬาซูเลอ แต่จุดประสงค์ของกีฬาทั้งสองคือ การนำลูกบอล ไปยังแดนของตน แต่เนื่องจากมีเสียงอึกทึกโครมครามจากการวิ่งแย่งลูกบอล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากมาย อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า จึงมีพระบรมราชโองการในนามของพระเจ้าแผ่นดินห้ามเล่นกีฬาดังกล่าวในเมือง ผู้ฝ่าฝืนมีโทษถึงจำคุก นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามซึ่งออกในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.1892 ขอให้เล่นยิงธนูในวันฉลองต่าง ๆ แทนการเล่นเกมฟุตบอล ส่วนในจีนนั้นขงจื้อได้กล่าวไว้ในหนังสือ "กังฟู" เกี่ยวกับกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาที่ใช้เท้าและศีรษะในสมัยจักรพรรดิ เซิงติ (ปี 32 ก่อนค.ศ.) มีการเล่นกีฬาที่คล้ายกับฟุตบอลซึ่งเรียกว่า"ซือ-ซู" (Tsu-Chu) ซึ่งหมายถึงการเตะลูกหนังด้วยเท้า กีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ซึ่งนักประพันธ์และนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นได้ยกย่องผู้เล่นที่มีชื่อเสียงให้เป็นวีรบุรุษของชาติ และในสมัยเดียวกันได้มีการเล่นคล้ายฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Chinsoc
ภาพกีฬาซือ-ซู ของจีนในสมัยโบราณ
ประวัติฟุตบอลในสยาม
กีฬาฟุตบอลในประเทศไทย ได้มีการเล่นตั้งแต่สมัย "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสิทร์ เนื่องจากสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานยาเธอ และข้าราชบริพารไปศึกษาวิชาการด้านต่างๆ ที่ประเทศอังกฤษ และผู้ที่นำกีฬาฟุตบอลกลับมายังประเทศไทยเป็นคนแรกคือ "เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)" หรือ ที่ประชนชาวไทยมักเรียกชื่อสั้นๆว่า "ครูเทพ" ซึ่งท่านได้แต่งเพลงกราวกีฬาที่พร้อมไปด้วยเรื่องน้ำใจนักกีฬาอย่างแท้จริง เชื่อกันว่าเพลงกราวกีฬาที่ครูเทพแต่งไว้นี้จะต้องเป็น "เพลงอมตะ" และจะต้องคงอยู่คู่ฟ้าไทย เมื่อปี พ.ศ. 2454-2458 ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการครั้งแรก เมื่อท่านได้นำฟุตบอลเข้ามาเล่นในประเทศไทยได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆมากมาย โดยหลายคนกล่าวว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ไม่เหมาะสมกับประเทศที่มีอากาศร้อน เหมาะสมกับประเทศที่มีอากาศหนาวมากกว่าและเป็นเกมที่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้เล่นและผู้ชมได้ง่าย ซึ่งข้อวิจารณ์ดังกล่าวถ้ามองอย่างผิวเผินอาจคล้อยตามได้ แต่ภายหลังข้อกล่าวหาดังกล่าวก็ได้ค่อยหมดไป จนกระทั่งกลายเป็น กีฬายอดนิยมที่สุดของประชาชนชาวไทยและชาวโลกทั่วทุกมุมโลก
วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 1281955637
ภาพกีฬาซูเลอ
จาก
expertfootball.com
mx.globedia.com
www.footballnetwork.org
www.sportphet.com
www.youtube.com
คลิปเมื่อนักฟุตบอลดีใจ

คลิปฟุตบอลเทพมาก (อาจเคยดูกันล่ะที่กระทู้รวมคลิป)
Volwar
Volwar
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 572
คะแนน : 770
คะแนนชื่อเสียง : 14
Join date : 23/01/2010
Age : 30
ที่อยู่ : ถนนเจริญยาก ถนนไม่มีรถเมล์ กทม.

ขึ้นไปข้างบน Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty มายากลคนเล่นกล

ตั้งหัวข้อ by Volwar Thu Aug 18, 2011 8:30 pm


คลิปมายากลแกล้งคน
ประวัติมายากลสากล
มายากลนั้นก่อกำเนิดมานานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีผู้พบภาพบนผนังถ้ำ เป็นการแสดงกลด้วยถ้วย 3 ใบและยังพบบันทึกเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับมายากลเป็นจำนวนมากกระจัดกระจายตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น อียิปต์ กรีซโบราณ จีน ฯลฯ

ประวัติมายากลในสยาม
ในประวัติศาสตร์สยามในอดีตมีเรื่องราวของอภินิหาร คาถาอาคม เช่น แทงลิ้น ล่องหนหายตัว ตาทิพย์ หูทิพย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สรุปไม่ได้ว่าเป็นวิทยากลหรือไสยศาสตร์ เพราะในอดีตการปกครองต่างๆ ยังเป็นระบบศักดินา เจ้าขุนมูลนาย ระบบทาสและไพร่ ซึ่งการจะให้บริวารอยู่ในอาณัติ ง่ายต่อการปกครองต้องทำให้คนเหล่านั้นเชื่อถือและเกรงกลัวในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์เป็นเบื้องแรก ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแม้มีการกล่าวถึงเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งเป็นราชทูตเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสว่า เมื่อเดินทางไปถึงได้ใช้มือเปล่ารูดใบมะขามมาเสกเป่าให้กลายเป็นตัวต่อตัวแตน บินไล่ต่อยชาวฝรั่งเศสจนกระจัดกระเจิง ซึ่งออกจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองจึงต้องบันทึกไว้เช่นนั้น นอกจากนี้มายากลก็ยังมีการกล่าวถึงในวรรณคดีไทย คือในหนังสือนิทานเรื่องศรีธนญชัย ฉบับของ พ. ณ บางพลี เขียนไว้ว่ามีหญิงสาวชาวฝรั่งเดินทางเข้ามาเมืองสยามเปิดการแสดงมายากกล แต่ถูกศรีธนญชัยท้าให้แสดงมายากกลแข่งกัน ว่าใครสามารถปัสสาวะใส่ขวดได้โดยไม่เลอะเทอะ คนนั้นเป็นผู้ชนะ ท้ายสุดแหม่มก็ต้องแพ้กลับไป นอกจากนี้ในเรื่องของมายากลเสกดอกไม้นั้น ชาวฝรั่งเศสนามว่าชื่อ นิโกลาส์ แชรแวส เคยบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม เมื่อปี พ.ศ. 2231 ว่า นักแสดงบางคนสามารถแสดงปาฏิหาริย์ให้เกิดดอกไม้ต่างๆ ในกระถางขึ้นได้ ส่วนสมาคมมายากลที่แน่ชัดในสยามนั้น ปรากฏในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 เรื่องนิทราชาคริต ซึ่งทรงนิพนธ์ในช่วงปี พ.ศ.2420 ระบุว่าในเมืองไทยเคยมีสมาคมกลมาก่อน ใช้ชื่อว่า ROYAL MAGICAL SOCIETY แต่เดิมเรียกอ่านกันว่า รอแยล มายิเกมต์ โซไซเอตี หรือ สมาคมนักกลหลวง แต่ทว่าเป็นเรื่องแปลกที่เรื่องราวของ สมาคมนักกลหลวง ได้หายไปไม่มีการบันทึกไว้รัชสมัย ร. 6 ทั้งๆ ที่พระองค์ ท่านก็ทรงเป็นผู้ที่ชื่นชมเรืองราวการแสดงอยู่ไม่น้อย ทำให้มายากลได้หายไปจากประวัติศาสตร์สยามระยะหนึ่ง จนกระทั่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการแสดงกลเข้ามา 3 สายได้แก่ สายอินเดีย จีน และ ยุโรป ในสายอินเดียการแสดงกลมีรูปแบบเป็นกลกลางแปลง เป็นกลที่แสดงในที่โล่ง ไม่มีเวที มีกลยอดนิยมอย่าง อับดุล ซึ่งจะให้ผู้ช่วยซึ่งนอนคลุมหน้าตอบคำถามเวลาที่ชี้ไปในกลุ่มผู้ชมอย่างให้ตอบว่าเป็นชายหรือหญิง ผมสั้นยาวอย่างไร รวมถึงทายเลขและสิ่งของที่ผู้ชมกำไว้ เช่นเดียวกับ กลเสกมะม่วง ซึ่งนำเอาเมล็ดมะม่วงไปปักดิน เอาผ้าคลุมไว้เมื่อเปิดออกแต่ละครั้งต้นมะม่วงก็จะโตขึ้น โตขึ้น กระทั่งเปิดออกครั้งสุดท้ายสามารถตัดผลเอามาให้คนที่มุงดูกินได้สร้างความฮือฮามาก ๆ นอกจากนี้ยังมีกลเรียกงู แทงคนในตะกร้าแสดงร่วมด้วยและทุกครั้งที่แสดงจบจะมีการขายสินค้า ขายยาโดยเฉพาะยาปลูกผม ปลูกหนวด ปลูกคิ้ว เป็นต้น ขณะที่กลของจีนเรียกว่า กลปาหี่ ก่อนแสดงทุกครั้งจะตีกลอง ฉิ่ง ฉาบ รำมวย รำดาบเรียกผู้ชม มีกลที่มีสีสันอย่างยกเก้าอี้ด้วยดวงตา ค้อนปอนด์ทุบก้อนหินซึ่งวางบนหน้าท้องรวมถึงกลเสกหินให้เป็นกบ ฯลฯ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมและเมื่อแสดงเสร็จแล้วจะขายยา ไม่ว่าจะเป็นยารักษาโรค ยาแก้ปวดฟัน ส่วนกลยุโรปที่เข้ามาเป็นกลที่ไม่เปิดการแสดงเหมือนกลกลางแปลง แต่จะเข้ามาในรูปละครสัตว์มีวิทยากลเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงเท่านั้นและมักเปิดการ แสดงที่ย่าน วังบูรพา วังสราญรมย์ ฯลฯ สื่อออกไปในแนวอิทธิฤทธิ์ เวทมนตร์ แต่ปัจจุบันแนวคิดเหล่านี้เปลี่ยนไปทั้งในต่างประเทศและในไทย ส่วนมายากลในปัจจุบัน ส่วนมามายากลในปัจจุบันก็เริ่มคลี่คลายมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังสงครามโลกเริ่มมีนักแสดงจากต่างประเทศเข้ามาแสดงในเมืองไทยมีทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่นรวมทั้งฟิลิปปินส์ทำให้คนไทยได้เห็นรูปแบบการแสดงวิทยากลในรูปแบบ การแสดงบนเวที ซึ่งนักแสดงจะสวมใส่ชุดทักซิโด้ หยิบกระต่ายออกจากหมวก เสกนก เสกกระต่าย เสกคนลอย เสกช้างหายเครื่องบินมา ฯลฯ สร้างความพิศวงตื่นใจ

ขอขอบพระคุณรูปภาพและข้อมูลจาก
manaotoon.blogspot.com
www.philipmagicschool.com
www.youtube.com

แถมการ์ตูนมายากลอับดุลตามไปดู
http://manaotoon.blogspot.com/2010/01/gt200.html

คลิปตลก 6 ฉาก โจรปล้นนักมายากล


แก้ไขล่าสุดโดย Volwar เมื่อ Wed Aug 31, 2011 7:41 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
Volwar
Volwar
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 572
คะแนน : 770
คะแนนชื่อเสียง : 14
Join date : 23/01/2010
Age : 30
ที่อยู่ : ถนนเจริญยาก ถนนไม่มีรถเมล์ กทม.

ขึ้นไปข้างบน Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty บีบอย ระบำชาวเกาะแมนฮัตตัน (นิวยอร์กตั้งอยู่บนเกาะนี้)

ตั้งหัวข้อ by Volwar Wed Aug 24, 2011 8:48 pm


ประวัติบีบอยสากล
คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า “Boioing” หมายความว่า “ กระโดด, โลดเต้น” และถูกใช้ในแถบ ‘Bronx River’ ในการเรียกรูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy ( บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boyingนั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ “ เบรกกิ้ง” หรือ เบรคแด๊นซ์” (อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน)Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของอิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาตินอเมริกัน ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค 60 นั่นเอง “เบรกกิ้ง” เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวันออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจาก
คาโปเอร่า หรือ ‘Capoeira’ คำว่า เบรค (Break) นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรี ที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วง จังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียว

ประวัติบีบอยในประเทศไทย
ประเทศไทย เริ่มมีการเต้น Breakdance เข้ามาตั้งแต่สมัยช่วงสงครามเวียดนามครั้งที่ประเทศอเมริกา อาศัยประเทศไทยเป็นฐานพักกำลังชั่วคราว คาดว่านะจะเข้ามาจากทหารอเมริกันนำมาเต้นกันในยุคนั้น ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าครั้งแรกของการมี B-boy หรือ Breakdance ที่นี่ แต่ทว่าข้อมูลนี่ยังไม่มีการพิสูจน์ ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2528 การเต้น Breakdance ก็ได้มีความนิยมแพร่หลาย ด้วยแนวดนตรีในยุคนั้นซึ่งมีอิทธิพลต่อเด็กวัยรุ่นในสมัยนั้นมาก จึงมีท่าที่นิยมเล่นต่างๆมากมาย ซึ่งได้แก่ ท่ากังหัน (Windmill),ท่าหนอน(Worm) , Wave (การเต้น wave ใน style Popping ), Robot (การทำท่าเลียนแบบหุ่นยนตร์) เป็นต้น ส่วนมากวัยรุ่นในสมัยนั้นจะเต้นกันแบบเต้นได้ คนละท่า สองท่า เพื่อเอาไว้อวดสาว และใช้เต้นเพื่อความสนุกสนานไปตามยุคสมัยไม่ได้ทำจนเป็นจริงจัง สมัยก่อนยังไม่มีคำว่า B-boy ใช้แต่คำว่า Breakdance ตามชื่อเรียกของสื่อในอเมริกา ยุคนั้นเป็นช่วง ที่วง Rock Steady crew ก็กำลังมีอัลบั้ม เป็นของตัวเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลมากสำหรับ Pop culture ในช่วงนั้น จากนั้นบีบอยก็มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

คลิปเด็ก 8 ขวบเต้นบีบอยแข่งกับผู้ใหญ่หลายคนอาจเคยดูล่ะที่รวมคลิป
จาก
maesaingp.org
www.kimart7.com
www.youtube.com
Volwar
Volwar
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 572
คะแนน : 770
คะแนนชื่อเสียง : 14
Join date : 23/01/2010
Age : 30
ที่อยู่ : ถนนเจริญยาก ถนนไม่มีรถเมล์ กทม.

ขึ้นไปข้างบน Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty สับปะรด !!!!!!!

ตั้งหัวข้อ by beer Mon Oct 24, 2011 11:42 am

อ่านแล้ว ไม่นึกเลยนะเนี่ย ว่าสับปะรดที่เบียปลูก ที่เก็บ ที่กิน อยู่ทุกๆวันเนี่ย
มันจะมีประวัติ มากมาย ขนาดนี้ !!!! น่าอึ้งนะ
อย่างงี้ ต้องปลูกเยอะแล้วๆๆๆๆ
สับปะรด เป็น ผลไม้ ของกษัตริย์ !!!!! Smile
beer
beer
F Class
F Class

จำนวนข้อความ : 9
คะแนน : 13
คะแนนชื่อเสียง : 4
Join date : 22/10/2011
Age : 26
ที่อยู่ : 299 Moo 1 Pluakdaeng Rayong

ขึ้นไปข้างบน Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty ผลไม้ๆๆ เนี่ยนะ

ตั้งหัวข้อ by beer Mon Oct 24, 2011 11:59 am

อิอิ ชอบอะ อ่านแล้ว ได้รู้ ขึ้นมากๆๆ
ว่าที่เราเรียกอยู่ทุกวันนี้ เนี่ย ประวัติ มันมาจากไหนๆ
ขอบคุณค่ะ ^^ Cool
beer
beer
F Class
F Class

จำนวนข้อความ : 9
คะแนน : 13
คะแนนชื่อเสียง : 4
Join date : 22/10/2011
Age : 26
ที่อยู่ : 299 Moo 1 Pluakdaeng Rayong

ขึ้นไปข้างบน Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty Re: วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม

ตั้งหัวข้อ by Tabutuba Sat Nov 19, 2011 8:26 am

โอ้เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าจักรยานก็มีแบบแปลกๆตาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย Surprised
Tabutuba
Tabutuba
B Class
B Class

จำนวนข้อความ : 155
คะแนน : 195
คะแนนชื่อเสียง : 29
Join date : 07/01/2011
Age : 26
ที่อยู่ : kkw Band

ขึ้นไปข้างบน Go down

วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม - Page 6 Empty Re: วัฒนธรรมและชาวต่างชาติในสยาม

ตั้งหัวข้อ by Tabutuba Mon Jun 25, 2012 9:40 pm

โอ้ สวยงามจังเลย ^^
Tabutuba
Tabutuba
B Class
B Class

จำนวนข้อความ : 155
คะแนน : 195
คะแนนชื่อเสียง : 29
Join date : 07/01/2011
Age : 26
ที่อยู่ : kkw Band

ขึ้นไปข้างบน Go down

หน้า 6 จาก 6 Previous  1, 2, 3, 4, 5, 6

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ